มาต่อกันที่วิธีการประหยัดในเมืองกรุง วิธีที่ 3 กันครับ วิธีนี้จะออกแนวการ “เอาชีวิตรอด” หน่อยนะครับ 4. อาหารฟรีมีอยู่แค่ไม่อาย จริงๆนี้เป็นวิธีที่ไม่น่าใช้เท่าไรนะครับ แต่หากจำเป็นที่จะต้องประหยัดเงินจริงๆ การใช้วิธีนี้เป็นไม้ตาย ก็ดูไม่น่าเกลียดเท่ากับการอดยากตายจริงไหมครับ จริงๆ ตามโรงเจหรือลานคนเมืองในทุกเย็นของแทบทุกวันจะมีการแจกจ่ายอาหารสำหรับคนยากไร้และคนไร้บ้านอยู่นะครับ การที่เราไปรับของกินของใช้เหล่านั้น จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่งเลยนะครับ แต่วิธีนี้จริงๆ ขอสงวนไว้สำหรับผู้ที่ตกยากจริงๆ น่าจะดีกว่านะครับ จะไม่ได้เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นมากเกินไป
มาต่อกันที่วิธีที่ 4 นะครับ 4. การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย หรือทำบัญชีรายรับรายจ่ายก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่เลวนัก หากประสงค์จะบริหารการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีมาตรฐาน รู้ว่าตัวเองจ่ายอะไรไปเท่าไรและตัวเองรับมาเท่าไร การทำตารางหรือบันทึกรายรับรายจ่ายก็จะช่วยเราในเรื่องนี้ได้เยอะ ซึ่งนอกจากจะช่วยในการบริหารจัดการการเงินแล้ว การทำรายรับรายจ่ายก็จะช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นกับชีวิตในเมืองกรุงได้เช่นกัน ว่าเหมาะสมกันหรือไม่ เพราะเราอาจจะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตที่เราดำเนินอยู่นั้น ไม่เหมาะสมกับรายรับที่ได้รับจากระบบในเมืองกรุงเลยก็เป็นได้
5. รู้จักออมอย่างไม่อัตคัดเกินไป จริงๆ วิธีการนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการ “ประหยัด” เลยก็ว่าได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลก การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณรอดได้เสมอ แต่สำหรับในกรุงเทพ การจะบอกให้ประหยัดอย่างง่ายๆเลยก็ดูแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราทุกคนต่างก็มีเหตุและปัจจัยที่จะส่งผลให้เงินในกระเป๋าหรือในบัญชีธนาคารปลิวออกไปได้แทบทั้งนั้น ดังนั้น ผมจึงแนะนำว่าการออมเงินที่ดีสำหรับชีวิตในกรุง จึงต้องย้อนกลับไปที่ข้อที่ 1 ให้ได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน โดยเมื่อเรารู้แล้วว่าตนเองมีเงินทองใช้จ่ายได้เพียงแค่ไหน เราก็ต้องเลือกที่จะตัดส่วนหนึ่งของเงินที่เราได้เป็นรายรับ เข้าไปในบัญชีเงินออมแบบฝากถาวร ซึ่งอาจจะช่วยให้เราออมเงินได้รัดกุมไปในตัว เพราะเงินที่เราเลือกตัดไปนั้น จะไม่สามารถย้อนกลับมาใช้ได้อีกในเวลาเร็วๆนั้นแน่นอน พูดง่ายๆ วิธีนี้ก็เหมือนการหักดิบเช่นกันนะครับ แต่รับรองว่าได้ผลแน่นอนสำหรับคนที่ประสงค์จะออมเงินไว้ใช้ในอนาคตอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ